• Welcome to ชมรมนิติกรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น:เว็บไซท์อันดับ๑ของวงการท้องถิ่น.
Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - admin

#101

เหตุใด ทำไมต้องสอบภาค ก ข และ ค
     ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว หลักสูตรในการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการได้กำหนดให้หน่วยดำเนินการสอบ จัดสอบทั้ง 3 ภาค คือ ภาค ก. ภาค ข. และภาค ค. ถ้าเป็นมือใหม่คงไม่เข้าใจและสงสัยว่าคืออะไร ทำไมต้องสอบกันหลายภาคด้วย ดังนั้นเพื่อความเข้าใจในการเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบ จะขออธิบายความหมาย และประเด็นสำคัญในการเตรียมตัวสอบ ดังนี้

ภาค ก. ?
        เมื่อสนใจและต้องการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุเข้ารับราชการ เริ่มแรกจะต้องสอบ ภาค ก. หรือมีชื่อเต็มอย่างเป็นทางการว่า "ภาคความรู้ความสามารถทั่วไป" การสอบจะกำหนดคะแนนเต็มไว้ที่ 100 คะแนน
โดยจะทดสอบด้วย "ข้อสอบปรนัย" (ข้อสอบแบบมีตัวเลือก) โดยหน่วยดำเนินการสอบจะคำนึงถึงระดับความรู้ความสามารถที่ต้องการตามระดับตำแหน่ง ซึ่งจะแบ่งเนื้อหาขอบเขตของข้อสอบ ภาค ก. ได้ดังนี้
      (๑) วิชาสามารถในการศึกษา วิเคราะห์และสรุปเหตุผล กำหนดคะแนนเต็ม ๒๕ คะแนน
จะทดสอบความสามารถในการศึกษา วิเคราะห์และสรุปเหตุผล โดยการให้สรุปความหรือจับประเด็นในข้อความหรือเรื่องราว หรือให้วิเคราะห์เหตุการณ์หรือสรุปเหตุผลทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม หรือให้หาแนวโน้มหรือความเปลี่ยนแปลงที่น่าจะเป็นไปตามข้อมูลหรือสมมุติฐาน
จากการสอบในอดีตที่ผ่านมา ในส่วนนี้จะต้องใช้ความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์ ข้อสอบเคยออกถึง "การหาค่าของเลขอนุกรม , การหาร้อยละ , โจทย์เงื่อนไขทางคณิตศาสตร์ , การอ่านค่าจากตาราง กราฟ แผนภูมิ"
      (๒) วิชาภาษาไทย กำหนดคะแนนเต็ม ๒๕ คะแนน
จะทดสอบความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาไทย โดยการให้สรุปความและหรือตีความจากข้อความสั้นๆ หรือบทความและให้พิจารณาเลือกใช้ภาษาในรูปแบบต่างๆจากคำหรือกลุ่มคำประโยคหรือข้อความสั้นๆ
จากการสอบในอดีตที่ผ่านมา ในส่วนนี้จะต้องใช้ความรู้ทางด้านภาษาไทย ข้อสอบเคยออกถึง "อุปมา อุปไมย , เงื่อนไขทางภาษา , การเรียงประโยค , การเติมคำ , การตีความจากบทความยาว , คำราชาศัพท์ , สำนวน สุภาษิตไทย"
      (๓) วิชาความรู้พื้นฐานในการปฏิบัติราชการ กำหนดคะแนนเต็ม ๕๐ คะแนน
จะทดสอบความรู้เกี่ยวกับกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งและอำนาจหน้าที่ของ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล ระเบียบงานสารบรรณ และการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
จากการสอบในอดีตที่ผ่านมา ในส่วนนี้จะต้องใช้ความรู้ทางด้านกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่น "โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ หมวดที่ 14 ว่าด้วยการปกครองท้องถิ่น , พระราชบัญญัติ อบจ./เทศบาล/อบต."

ภาค ข. ?
     หลังจากการสอบภาค ก. เราก็ต้องมาสอบภาค ข. (ภาคความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) ว่าง่ายๆ ก็คือความรู้ความเข้าใจในตำแหน่งที่เราสมัครสอบ (เหมือนกับเวลาเราไปสมัครงานบริษัทเอกชน เราก็ต้องรู้ใช่ไหมว่าตำแหน่งที่เราสมัครต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องรู้ *งานราชการก็เช่นกัน)
     ซึ่งภาคความรู้ความสามารถเฉพาะสำหรับตำแหน่ง(ภาค ข) กำหนดคะแนนเต็มไว้ที่ ๑๐๐ คะแนน
โดยจะทดสอบความรู้ความสามารถในทางที่จะใช้ในการปฏิบัติงานในหน้าที่โดยเฉพาะตามที่ระบุไว้ในมาตรฐานกำหนดตำแหน่ง โดยวิธีการสอบข้อเขียนหรือวิธีสอบปฏิบัติ หรือวิธีอื่นใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีก็ได้ตามความเหมาะสม แต่ทั้งนี้จะรวมสอบเป็นวิชาเดียวหรืออย่างเดียว หรือแยกสอบเป็นสองวิชาหรือสองอย่าง แต่เมื่อรวมคะแนนทุกแบบทดสอบแล้วต้องมีคะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนน โดยเมื่อจะทดสอบความรู้ความสามารถในทางใดและโดยวิธีใด หน่วยดำเนินการสอบจะระบุไว้ในประกาศรับสมัครสอบด้วย

     ยกตัวอย่างเช่น ถ้าสมัครตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป ก็ต้องเตรียมอ่านแล้วว่า ตำแหน่งนี้ทำหน้าที่อะไร รับผิดชอบอะไรบ้าง พรบ.หรือข้อกฎหมายที่เราควรทราบ อย่างเช่น  งานพัสดุ งานสารบรรณ งานเลขานุการ งานบริหารบุคคล เป็นต้น สามารถศึกษาหน้าที่และลักษณะงานของแต่ละตำแหน่งของท้องถิ่นได้ตาม "มาตรฐานกำหนดตำแหน่ง ของ อบจ./เทศบาล/อบต." (http://local.chiangmai.go.th/noui/math/) และที่สำคัญต้องสังเกตในส่วนท้ายของประกาศการรับสมัครสอบด้วยว่า "ขอบเขตเนื้อหาในการสอบตำแหน่งนั้นๆ จะออกเนื้อหาในส่วนใดบ้าง" ซึ่งส่วนใหญ่ที่ผ่านมาหน่วยดำเนินการสอบจะระบุแจ้งไว้อย่างชัดเจน

ภาค ค. ?
    ภาค ค. (ภาคความเหมาะสมเฉพาะตำแหน่ง) ก็คือ "การสอบสัมภาษณ์" นั่นเอง ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย
ซึ่งภาคความเหมาะสมกับตำแหน่ง (ภาค ค) กำหนดคะแนนเต็มไว้ที่ ๑๐๐ คะแนน โดยจะประเมินบุคคลเพื่อพิจารณาความเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่จากประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา ประวัติการทำงานและพฤติกรรมที่ปรากฏทางอื่นของผู้เข้าสอบ "จากการสัมภาษณ์" ทั้งนี้หน่วยดำเนินการสอบอาจใช้วิธีการอื่นใดเพิ่มเติมอีกก็ได้ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมในด้านต่างๆ เช่น ความรู้ที่อาจใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงานในหน้าที่ ความสามารถ ประสบการณ์ ท่วงทีวาจา อุปนิสัย อารมณ์ ทัศนคติ จริยธรรมและคุณธรรม การปรับตัวเข้ากับผู้ร่วมงาน รวมทั้งสังคมและสิ่งแวดล้อม ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ปฏิภาณไหวพริบ และบุคลิกภาพอย่างอื่น เป็นต้น

     การดำเนินการสอบ ภาค ก ภาค ข และภาค ค อาจจะดำเนินการทดสอบในคราวเดียว หรือดำเนินการสอบภาคหนึ่ง ภาคใดก่อนก็ได้ ทั้งนี้หน่วยดำเนินการสอบแข่งขันจะประกาศชัดเจนในประกาศรับสมัครสอบ ขอให้ผู้เข้าสอบอ่านและศึกษาประกาศการสอบให้ละเอียดด้วย

เกณฑ์การตัดสินการสอบ
     การตัดสินว่าผู้ใดเป็นผู้สอบแข่งขันได้ให้ถือเกณฑ์ว่าต้องเป็นผู้สอบได้คะแนนในภาคความรู้ความสามารถทั่วไป(ภาค ก) ภาคความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะสำหรับตำแหน่ง (ภาค ข) และภาคความเหมาะสมกับตำแหน่ง (ภาค ค) ที่สอบตามหลักสูตรแต่ละภาคไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖๐ โดยหน่วยดำเนินการสอบจะนำคะแนนจากการสอบภาคความรู้ความสามารถทั่วไป(ภาค ก) ภาคความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะสำหรับตำแหน่ง(ภาค ข) และภาคความเหมาะสมกับตำแหน่ง (ภาค ค) มารวมกัน ทั้งนี้จะคำนึงถึงหลักวิชาการวัดผลด้วย

     ผู้ที่สนใจจะเข้ารับราชการในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น อบจ. เทศบาล และอบต. จะต้องเข้าสู่กระบวนการสอบตามหลักเกณฑ์ข้างต้น โดยจะต้องเริ่มจากสอบภาค ก. ภาค ข. และภาค ค. เรียงตามลำดับไป ซึ่งการสอบนั้น อาจจะสอบทั้ง 3 ภาคพร้อมกัน หรือแยกการสอบออกเป็นการสอบภาคใดก่อนก็ได้ โดยผู้เข้าสอบต้องอ่านระเบียบการสอบให้ดี
     การสอบทั้ง ภาค ก. ภาค ข. และภาค ค. แต่ละภาคนั้นจะต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 จากนั้นการขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ หน่วยดำเนินการสอบจะเอาคะแนนภาค ก. ภาค ข. และภาค ค. มารวมกัน และประกาศบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ให้ทราบต่อไป

     แนวข้อสอบก็จะออกตามหลักเกณฑ์ข้างต้น ซึ่งผู้ที่สนใจจะสอบนั้น ควรขยันทำสอบข้อเก่าๆ เพื่อทำความเข้าใจในหลักการหาคำตอบที่ถูกต้อง ซึ่งข้อสอบเก่าๆที่ผ่านมา จะเป็นอาจารย์ของเราได้อย่างดี การสอบครั้งนี้เป็นการสอบแข่งขันระดับประเทศ ดังนั้นต้องขยันอ่านหนังสือ ต้องสร้างระเบียบวินัยในการอ่านหนังสือให้กับตัวเอง การสอบนอกจากแข่งขันกับตัวเองแล้ว ยังต้องทำคะแนนแข่งขันกับผู้สอบคนอื่นๆอีกมากมาย โดยหลักการอ่านหนังสือนั้น ผู้เขียนจะนำมาอธิบายเผยแพร่ในโอกาสต่อไป
     การสอบครั้งนี้ เป็นศึกการสอบที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งที่เคยมีมา ดังนั้นอยากให้ทุกท่านเตรียมตัวเองให้พร้อมสอบอยู่เสมอ อย่ากังวลกับวันประกาศรับสมัครสอบ อย่ากังวลกับอัตรากำลังที่เปิดรับ ขอให้ท่านอ่านหนังสือ ทบทวนความรู้ความเข้าใจอยู่เสมอ จากนี้ไปใช้ทุกวันก่อนสอบให้คุ้มค่า ถามตัวเองดูว่า "อ่านหนังสือพอหรือยัง? เข้าใจแล้วหรือยัง? มีความตั้งใจทุ่มเทขนาดไหน?" มีความพร้อมที่จะแข่งกับคนอื่นหรือยัง?
     

>>> ตอนต่อไป : ตอนที่ 3 จะพูดถึงการขึ้นบัญชี-การใช้บัญชี และเงื่อนไขการบรรจุแต่งตั้ง
#102

ตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2555 เป็นต้นมา หลักเกณฑ์การสอบบรรจุเข้ารับราชการในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) / เทศบาล / องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ได้เกิดหลักเกณฑ์การสอบใหม่ขึ้นมา ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมตัวเองให้พร้อมกับการสอบ จึงต้องมาทำความเข้าใจในหลักเกณฑ์การสอบใหม่นี้ก่อน

     ขออ้างถึงประกาศคณะกรรมการกลางพนักงานเทศบาลเรื่อง มาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการคัดเลือกโดยการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด / พนักงานเทศบาล /พนักงานส่วนตำบล

     ในกรณีอบจ./เทศบาล/อบต.เป็นหน่วยดำเนินการสอบแข่งขัน ให้อบจ./เทศบาล/อบต.เป็นเจ้าของบัญชี หมายถึง เทศบาลอื่นๆ หรือ อบต.อื่นๆ ไม่สามารถขอใช้บัญชีผู้สอบแข่งขันได้ การขึ้นบัญชีและใช้บัญชีจะใช้ได้เฉพาะหน่วยงานที่จัดสอบเท่านั้น

     ในกรณีคณะกรรมการกลางการสอบแข่งขันพนักงานส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยดำเนินการสอบแข่งขัน ให้จังหวัดที่เป็นศูนย์อำนวยการสอบแข่งขันในแต่ละภาค/เขตเป็นเจ้าของบัญชีผู้สอบแข่งได้ สำหรับการแบ่งภาค/เขตในการสอบแข่งขันให้เป็นไปตามประกาศกำหนด

     ณ ตอนนี้หลายๆท่าน คงเฝ้ารอการสอบแบบแบ่งภาค/เขต ตามหลักเกณฑ์ฯ บัญชีผู้สอบแข่งขันได้ของคณะกรรมการกลางการสอบแข่งขันพนักงานส่วนท้องถิ่น (กสถ.) ประกอบด้วยจังหวัดในกลุ่มภาค/เขต ดังนี้
ภาคกลางเขต ๑ ได้แก่
1.จังหวัดชัยนาท ๒.จังหวัดนนทบุรี ๓.จังหวัดปทุมธานี ๔.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๕.จังหวัดลพบุรี ๖.จังหวัดสระบุรี ๗.จังหวัดสิงห์บุรี ๘.จังหวัดอ่างทอง

ภาคกลางเขต ๒ ได้แก่
๑.จังหวัดจันทบุรี ๒.จังหวัดฉะเชิงเทรา ๓.จังหวัดชลบุรี ๔.จังหวัดตราด ๕.จังหวัดนครนายก ๖.จังหวัดปราจีนบุรี ๗.จังหวัดระยอง ๘.จังหวัดสมุทรปราการ ๙.จังหวัดสระแก้ว

ภาคกลางเขต ๓ ได้แก่
๑.จังหวัดกาญจนบุรี ๒.จังหวัดนครปฐม ๓.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ๔.จังหวัดเพชรบุรี ๕.จังหวัดราชบุรี ๖.จังหวัดสมุทรสงคราม ๗.จังหวัดสมุทรสาคร ๘.จังหวัดสุพรรณบุรี

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเขต ๑ ได้แก่
๑.จังหวัดกาฬสินธุ์ ๒.จังหวัดขอนแก่น ๓.จังหวัดชัยภูมิ ๔.จังหวัดนครราชสีมา ๕.จังหวัดบุรีรัมย์
๖.จังหวัดมหาสารคาม

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต ๒ ได้แก่
๑.จังหวัดมุกดาหาร ๒.จังหวัดยโสธร ๓.จังหวัดร้อยเอ็ด ๔.จังหวัดศรีสะเกษ ๕.จังหวัดสุรินทร์ ๖.จังหวัดอำนาจเจริญ ๗.จังหวัดอุบลราชธานี

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเขต ๓ ได้แก่
๑.จังหวัดนครพนม ๒.จังหวัดบึงกาฬ ๓.จังหวัดเลย ๔.จังหวัดสกลนคร ๕.จังหวัดหนองคาย ๖.จังหวัดหนองบัวลำภู ๗.จังหวัดอุดรธานี

ภาคเหนือเขต ๑ ได้แก่
๑.จังหวัดชียงราย ๒.จังหวัดเชียงใหม่ ๓.จังหวัดน่าน ๔.จังหวัดพะเยา ๕.จังหวัดแพร่ ๖.จังหวัดแม่ฮ่องสอน ๗.จังหวัดลำปาง ๘.จังหวัดลำพูน

ภาคเหนือเขต ๒ ได้แก่
๑.จังหวัดกำแพงเพชร ๒.จังหวัดตาก ๓.จังหวัดนครสวรรค์ ๔.จังหวัดพิจิตร ๕.จังหวัดพิษณุโลก ๖.จังหวัดเพชรบูรณ์ ๗.จังหวัดสุโขทัย ๘.จังหวัดอุตรดิตถ์ ๙.จังหวัดอุทัยธานี

ภาคใต้ เขต ๑ ได้แก่
๑.จังหวัดกระบี่ ๒.จังหวัดชุมพร ๓.จังหวัดนครศรีธรรมราช ๔.จังหวัดพังงา ๕.จังหวัดภูเก็ต ๖.จังหวัดระนอง ๗.จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ภาคใต้ เขต ๒ ได้แก่
๑.จังหวัดตรัง ๒.จังหวัดนราธิวาส ๓.จังหวัดปัตตานี ๔.จังหวัดพัทลุง ๕.จังหวัดยะลา ๖.จังหวัดสงขลา ๗.จังหวัดสตูล

คราวนี้ จะได้เตรียมตัวลงสนามสอบได้ถูก ว่าจะเลือกลงในเขตไหนดี ถ้าที่ดีควรศึกษาถึงกรอบอัตราตำแหน่งที่ว่างอยู่ในเขต/จังหวัดนั้นๆ เพราะหากกรอบอัตราตำแหน่งว่างมีมาก จะส่งผลให้การใช้เรียกบัญชีก็จะมีมากเช่นกัน

หลักสูตรในการสอบแข่งขัน
กำหนดให้หน่วยดำเนินการสอบ จัดสอบทั้ง ๓ ภาค คือ ภาค ก. ภาค ข. และภาค ค.

วิธีการดำเนินการสอบแข่งขัน
กำหนดให้หน่วยดำเนินการสอบ ให้ดำเนินการสอบแข่งขันทั้งภาค ก. ภาค ข. และภาค ค. (ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากเดิม)
กรณีการสมัครสอบแข่งขันที่ กสถ. เป็นผู้ดำเนินการกำหนดให้ผู้สมัครสอบต้องเลือกกลุ่มจังหวัดที่ประสงค์จะบรรจุแต่งตั้ง *ตั้งแต่ขั้นตอนการสมัครด้วย

การขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้
กำหนดให้บัญชีผู้สอบแข่งขันมีอายุ ๒ ปี ผู้ขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้จะต้องบรรจุตามลำดับที่ โดยผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดมีสิทธิเลือกบรรจุใน อปท. ใดก็ได้ตามบัญชีรายชื่อ อปท. ที่ขอใช้บัญชีไปบรรจุแต่งตั้ง

เงื่อนไขการบรรจุแต่งตั้ง
จะต้องบรรุจแต่งตั้งในตำแหน่งที่สอบได้หรือตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกัน และกำหนดให้เมื่อบรรจุห้ามโอนย้ายภายใน ๑ ปีนับจากวันบรรจุ โดยไม่มีข้อยกเว้น

จากหลักเกณฑ์การสอบที่มีการเปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว หากเราทำความเข้าใจกับหลักเกณฑ์ฯ ก็จะสามารถเตรียมตัวเองได้ถูก เสมือนหนึ่งว่ารู้หลักกติกาการสอบ ก็จะสามารถเดินตามกติกาได้จนจบ

>>> ตอนต่อไป : ตอนที่ 2 จะพูดถึงรายละเอียดหลักสูตรและวิธีการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการ  http://www.nitikon.com/index.php?topic=181126.0
#106

คำถาม ๑๘/๙/๖๒ กรณีพนักจ้างถูกตำรวจจับกุมคดียาเสพติด ตาม ว.733 ให้หน่วยงานเสนอสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน และให้ตั้ง กก.สอบวินัยร้ายแรง. กรณีนี้ เราต้องแต่งตั้ง กก.สอบข้อเท็จจริงก่อนแล้วจึงรายงานข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ ก. ประกอบการขอเสนอสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนหรือไม่ครับ
#107




คำถาม ๒๗/๑๒/๖๒ คำถาม กรณีพนง.จ้างตามภารกิจ ถูกจับขณะปฏิบัติหน้าที่ขอหายาเสพติด และผลการตรวจฉี่เป็นบวก กรณีนี้นายกสามารถบอกเลิกสัญญาจ้าง และงดให้ปฏิบัติหน้าที่ได้เลยไหม หลักฐานทางตำรวจยังไม่ส่งมาให้หน่วยงาน
#110
สถ.แจ้งท้องถิ่นทั่วประเทศปฎิบัติหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานควบคุมโรค

14 มี.ค. 2563 นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง แต่งตั้งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 (ฉบับที่ 3) และ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2563 ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 13 มีนาคม 2563 และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2563 โดยในประกาศทั้ง 2 ฉบับได้มีการแต่งตั้ง ผู้บริหาร ข้าราชการ และพนักงาน ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่

ในส่วนการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประกอบด้วย ให้ข้าราชการสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งดำรงตำแหน่ง ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด, ปลัดเทศบาล, ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล, ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล, นักบริหารงานสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ​เป็นเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 (ฉบับที่ 3) เฉพาะในเขตท้องที่ที่ตนมีอำนาจหน้าที่ดูแลและรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการ

และให้ข้าราชการสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งดำรงตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด, นายกเทศมนตรี, นายกองค์การบริหารส่วนตำบล, ผู้อำนวยการสำนักงานสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาล, ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาล, หัวหน้ากองหรือหัวหน้าฝ่ายสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาล, ​ผู้อำนวยการกองหรือหัวหน้าฝ่ายสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม องค์การบริหารส่วนตำบล,​หัวหน้ากองหรือหัวหน้าฝ่ายสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม องค์การบริหารส่วนตำบล หรือตำแหน่งที่คล้ายคลึงกัน

ไปจนถึง ข้าราชการสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบลหรือข้าราชการที่ได้รับมอบหมายให้ไปช่วยราชการหรือปฏิบัติราชการในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งดำรงตำแหน่งนายแพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ นักวิชาการสาธารณสุข นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ นักเทคนิคการแพทย์ นายสัตวแพทย์ เจ้าพนักงานเภสัชกรรม พยาบาลเทคนิค เจ้าพนักงานสาธารณสุข เจ้าพนักงานวิทยาศาสตร์การแพทย์ หรือสัตวแพทย์​ เป็นเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 (ฉบับที่ 4) เฉพาะในเขตท้องที่ที่ตนมีอำนาจหน้าที่ดูแลและรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการ

"การแต่งตั้งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 (ฉบับที่ 3) และ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2563 จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป ซึ่งหลังจากนี้ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด จะได้ทำการชี้แจงถึงบทบาท และอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายต่อพี่น้ององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับการแต่งตั้งต่อไป เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างถูกต้อง ชัดเจน ทันต่อสถานการณ์ในเวลานี้" อธิบดี สถ.​กล่าว

#ข่าวท้องถิ่น
#COVID19
#TheGlocal
#ท้องถิ่นเคลื่อนโลก
#112

การสืบราคา....
พูดเรื่องนิยามการสืบราคา ที่แท้จริง เท่าที่ปรากฏผ่านสายตา และที่เป็นกิจลักษณะนั้น จะปรากฏในงานก่อสร้างเท่านั้นคะ
โดยปรากฎใน ประกาศคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ (14 พฤศจิกายน 2560) ซึ่งได้กำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง และนิยามคำว่า "สืบราคา" ไว้ในข้อ 2.1.9
........ข้อ((8)(8.6)) กำหนดไว้ว่า "การสืบราคา" หมายถึง "การดำเนินการใดๆ เพื่อให้ทราบราคาและหรือแหล่งวัสดุก่อสร้างที่มีความเป็นปัจจุบันและสอดคล้องกับราคาวัสดุก่อสร้างที่เป็นจริง"
........ข้อ((8)(8.7) กำหนดไว้ว่า "ในการสืบและใช้ราคาวัสดุก่อสร้างที่ถูกต้องตรงตามคุณลักษณะเฉพาะที่กำหนดในแบบก่อสร้างในราคาต้นทุน ในกรณีที่ไม่สามารถสืบและใช้ราคาวัสดุก่อสร้างที่ถูกต้องตรงตามคุณลักษณะเฉพาะตามที่กำหนดในแบบก่อสร้างได้ ให้สืบและใช้ราคาวัสดุก่อสร้างที่ผู้มีหน้าที่กำหนดราคากลางได้พิจารณาแล้วเห็นว่ามีคุณลักษณะเฉพาะใกล้เคียงกับที่กำหนดไว้ในแบบก่อสร้างหรือสามารถใช้แทนกันได้"

✅งานก่อสร้างใช้หลักการถัวเฉลี่ยตามหลักการทางวิชาคณิต
✅ส่วนในงานซื้อจ้างทั่วไป ใช้หลักสืบราคาต่ำสุด
✅วงเงินเกินห้าแสน ใช้ ว 206 สืบสามราย
✅ส่วนต่ำกว่าพิจารณาตามมาตรา 4 นิยามราคากลาง
#จบคะ

🌸วราภรณ์ แสงชา 24/02/2563

อ้างอิง...
❇️ประกาศคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดภุ าครัฐ เรื่อง แบบสัญญาเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560
#113

หนังสือที่เกี่ยวข้องกับ โครงการอบรมอาสาภัยพิบัติ
1️⃣ว 7367 ลว 4 ธันวาคม 2562
2️⃣ว 0813 ลว 6 กุมภาพันธ์ 2563
3️⃣ว 440 ลว 13 กุมภาพันธ์ 2563

🌸วราภรณ์ แสงชา 15/02/2563

ดาวน์โหลดหนังสือ.....⬇️⬇️

✅ว 3767
http://www.chiangmailocal.go.th/web.../20200106_0023-3-281.pdf

✅0813
https://drive.google.com/.../1ixU_kyuDWxdKemiU0UPNd7TXxn.../view

✅ว 440
(http://www.dla.go.th/.../typ.../2020/2/23072_1_1581649043466.pdf)
#114

จ้างเหมาบริการลูกรองประธานสภา

นายก อบต. จ้างเหมาบริการลูกรองประธานสภา ทำงานช่วยเจ้าหน้าที่การเงิน ได้หรือไม่ ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญากับ อบต หรือไม่
#115

มีชาวบ้านปล่อยน้ำยางในไร่ตัวเองแต่่ส่งกลิ่นเหม็นบ้างข้างเคียง อบต ทำอะไรได้บ้างครับ

ตอนนี้ชาวบ้านมาร้องเรียนที่ อบต.ให้ช่วยแก้ไข ไม่ทราบว่าต้องทำอะไรเป็นอันดับแรกครับ

ช่วยแนะนำด้วยครับ( น้องใหม่ )
#116

คำถาม  ๑๕/๑/๖๓
กรณีนายก อบต. ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน เนื่องจากออกคำสั่งแต่งตั้งรองนายก อบต. ซึ่งขาดคุณสมบัติ/มีลักษะต้องห้าม

#ข้อเท็จจริง

นายก อบต. จะแต่งตั้ง เอ และ บี เป็นรองนายกฯ แต่ปลัด อบต. ได้มีบันทึก ลว. 19 พ.ย  60 มีข้อความว่าบุคคลทั้งสองไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง สว. 30 มี.ค. 57 และไม่ได้แจ้งเหตุแห่งการไม่ไปใช้สิทธิ จึงเป็นเหตุให้บุคคลทั้งสองขาดคุณสมบัติ ตาม พรบ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารฯ  ม.37(3)  ซึ่งนายกฯ มีความเห็นระบุท้ายบันทึกว่า "ดำเนินการตามม.58/1 และ58/4 โดยบุคคลดังกล่าวมีคุณสมบัติครบถ้วน ให้ดำเนินการแต่งตั้งต่อไป"

ประกอบกับนักทรัพยากรบุคคงได้มีบันทึก ลว. 23 พ.ย. 60 มีสาระเช่นเดียวกันกับบันทึกของปลัดฯ และนายกฯ สั่งท้ายบันทึกว่า "ให้ดำเนินการเบิกจ่ายค่าตอบแทน ให้ยืนยันออกคำสั่งต่อไป" และมีคำสั่งแต่งตั้ง เอ เป็นรองนายกฯ ลว. 24 พ.ย. 60

นอกจากนี้ หัวหน้าสำนักปลัดได้มีบันทึก ลว.7 ธ.ค. 60 (ก่อนมีการแต่งตั้ง บี เป็นรองนายก วันที่ 10 ธ.ค. 60) ระบุว่า กองคลังได้ตรวจสอบบันทึกและคำสั่ง เพื่อเป็นเอกสารแนบการเบิกจ่ายของ เอ รองนายกฯ ปรากฎว่า เอ ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง สว. และไม่แจ้งเหตุ จึงขาดคุณสมบัติการเป็นรองนายกฯ ดังนั้น การเบิกจ่ายเงินเดือน ค่าตอบแทน ค่าตอบแทนพิเศษของบุคคลดังกล่าวจึงไม่ถูกต้อง เห็นควรทบทวนคำสั่ง ซึ่งนายกฯ ระบุความเห็นท้ายบันทึกว่า "เห็นควรเบิกจ่ายเงินเดือน ค่าตอบแทน ค่าตอบแทนพิเศษต่อไป"

ประกอบกับคณะกรรมการ ปปช. ส่งเรื่องให้ ผวจ. ผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอน กรณีมีการกล่าวหาร้องเรียนนายกฯ กระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าราชการ ซึ่งตามรายงานการแสวงหาข้อเท๊จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานของ สนง.ปปช.จังหวัด ปรากฏข้อเท็จจริงสอดรับกับการสอบสวนของอำเภอ ว่า นายกฯ ใช้อำนาจแต่งตั้งรองนายกฯ โดยมิชอบด้วย ม.58/4 ม.58/1 พรบ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลฯ ประกอบ ม.37(3) พรบ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารฯ โดยคณะกรรมการปปช.ระบุว่าเป็นการกระทำผิดเล็กน้อย

แต่คณะกรรมการสอบสวนจังหวัด เห็นว่าแม้เป็นความผิดเล็กน้อย แต่กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมุ่งเน้นไปที่ผลการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ตาม ปอ. จึงเป็นคนละกรณีกับการกระทำฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ ม.92 แห่งพรบ.สภาตำบลฯ

คณะกรรมการสอบสวนจังหวัด เสียงข้างมาก (4/5)  พิจารณาว่า นายก อบต. มีอำนาจหน้าที่ตามพรบ.สภาตำบลฯ ม.59 กล่าวคือ กำหนดนโยบ่ยไม่ขัดต่อกฎหมาย รับผิดชอบในการบริหาราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย นโยบาย แผนฯ ข้อบัญญัติระเบียบ สั่ง อนุญาตและอนุมัติเกี่ยวกับราชการ แต่งตั้งรองนายกฯและเลขานุการ และม.60 ควบคุมและรับผิดชอบในการบริหารราชการ อบต. ตาม กฎหมาย แต่กลับปรากฏพฤติการณ์ตามความเห็นและหลักฐานของ นอภ.

ต่อมา นายก อบต. ได้มีคำสั่งให้เอและบีพ้นจากตำแหน่งรองนายกฯ หลังจากได้รับแจ้งผลวินิจฉัยของ นอภ. เพียง 5 วัน คณะกรรมการสอบสวนจังหวัดเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวหามีผลทางกฎหมาย เนื่องจากเอและบีต้งพ้นจากตำแหน่งตามคำวินิจฉัย นอภ. โดยมีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ได้มีการแต่บตั้ง ไม่ถือว่านายกฯ มีเจตนาจะแก้ไขหรือเยียวยาผลร้ายในการที่ตนได้กระทำผิดกฎหมาย ถือจะถือเป็นเหตุอันควรปราณีให้ลงโทษเป็นว่ากล่าวตักเตือน ดังนั้นคณะกรรมการฯ เห็นควรมีคำสั่งให้นายกฯ พ้นจากตำแหน่ง

แต่ทั้งนี้ มีความเห็นเสียงข้างน้อย (1/5) ระบุว่า การที่นายกฯ มีคำสั่งให้รองนายกฯ ทั้วสองพ้นจากตำแหน่ง 12 มิ.ย. 61 ภายหลังจากที่ได้รับแจ้งผลวินิจฉัยจากอำเภอเพียง 5 วัน แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาจะแก้ไข พฤติการณ์ยังไม่ร้ายแรงเพียงพอให้สั่งพ้นจากตำแหน่ง และขอเสนอให้ ผวจ. แจ้ง นอภ. ว่ากล่าวตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรว่าอย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ตามความเห็นท้องถิ่นจังหวัด เนื่องจากหากให้พ้นจากตำแหน่งจะต้องถูกตัดสิทธิทางการเมืองถึง 5 ปี

คำถาม
1) กรณีความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนมีสองทาง ควรดำเนินการอย่างไร
2) กรณีปปช.แจ้งมายัง ผวจ. ว่าเป็นการกระทำผิดเล็กน้อย ให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ นั้น นอกจากดำเนินการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนจังหวัดแล้ว ควรให้พนง.สอบสวนดำเนินการตาม ป.วิ.อ. หรือไม่ อย่างไรคะท่านอาจารย์ @p.prawit

ตอบ

          เป็นคำถามเกี่ยวกับการสอบสวนผู้บริหารท้องถิ่นตามระเบียบ มท.ว่าด้วยการสอบสวนฯ ปี ๕๔ กรณี ป.ป.ช.ส่งเรื่อง
          ท่านอาจารย์สัญจิต พวงนาค (โทร.๐๘๑๑๗๔๓๗๖๙) ตอบดังนี้...

          "คำถาม
          1) กรณีความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนมีสองทาง ควรดำเนินการอย่างไร
          ตอบ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการสอบสวนผู้บริหารท้องถิ่นฯ ข้อ 15 วรรคสอง กำหนดว่า ความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนให้ถือเสียงข้างมากของกรรมการที่มาประชุม ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานกรรมการออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด และข้อ 23 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า ถ้ากรรมการสอบสวนคนใดมีความเห็นแย้งจะทำความเห็นแย้งติดไว้กับสำนวนการสอบสวนก็ได้ ดังนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า คณะกรรมการสอบสวนของจังหวัดจำนวน 4 คน จากทั้งหมด 5 คน ได้ลงคะแนนเสียงเห็นว่า มีเหตุที่จะสั่งให้ นายก อบต. พ้นจากตำแหน่ง จึงถือเป็นเสียงข้างมาก ส่วนกรรมการสอบสวนที่เป็นเสียงข้างน้อยสามารถทำความเห็นแย้งติดไว้กับสำนวนการสอบสวน แล้วนำมติของคณะกรรมการสอบสวนพร้อมความเห็นแย้งนี้เสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาได้

          2) กรณี ปปช.แจ้งมายัง ผวจ. ว่าเป็นการกระทำผิดเล็กน้อย ให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ นั้น นอกจากดำเนินการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนจังหวัดแล้ว ควรให้พนง.สอบสวนดำเนินการตาม ป.วิ.อ. หรือไม่ อย่างไรคะท่านอาจารย์
          ตอบ หากผู้ว่าราชการจังหวัดได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า การกระทำของนายก อบต.มีมูลเป็นความผิดทางอาญา ผู้เสียหายก็สามารถร้องทุกข์หรือผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้ดำเนินคดีอาญาได้"

          อ้างอิง :

          ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการสอบสวนผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ประธานสภาท้องถิ่น รองประธานสภาท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น เลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น และที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.๒๕๕๔
          ข้อ ๑๕ วรรคสอง
          ข้อ ๒๓ วรรคหนึ่ง
         
          ขอบคุณท่านอาจารย์สัญจิต พวงนาค ครับ
#117

คำถาม  ๑๗/๑/๖๓
กรณีที่พนักงานถูกยื่นฟ้องศาลแล้วศาลชั้นต้นตัดสินให้จำคุก 6 เดือนไม่รอลงอาญาเราต้องให้พนักงานคนนั้นออกจากราชการก่อนไหมคะ

ตอบ

          ไม่พบข้อมูลสำคัญ เช่น คดีถึงที่สุดแล้วหรือไม่ หรืออยู่ระหว่างอุทธรณ์ และผู้นั้นได้รับการประกันตัวในระหว่างอุทธรณ์หรือไม่ นายกฯ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแล้วหรือไม่ อย่างไร เป็นต้น

          หลักการที่เกี่ยวข้อง มีดังนี้

          ๑. กรณีข้าราชการส่วนท้องถิ่นถูกฟ้องคดีอาญา นายกฯ ต้องตั้งกรรมการสอบวินัยไปพร้อมกัน (ว ๔)
          ๒. เหตุในการสั่งให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นออกจากราชการไว้ก่อน โดยความเห็นชอบของ ก.จังหวัด อย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
               ถ้าปรากฏว่าผู้นั้น
               (๑) ถูกแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง และนายกฯ เห็นว่าอยู่ในราชการต่อไปจะเกิดความเสียหาย
               (๒) ถูกฟ้องคดีอาญาในเรื่องเกี่ยวกับหน้าที่ราชการ โดยอัยการไม่รับเป็นทนายแก้ต่างให้ และนายกฯ เห็นว่าอยู่ในราชการต่อไปจะเกิดความเสียหาย
               (๓) มีพฤติการณ์จะเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนพิจารณาหรือจะก่อความไม่สงบเรียบร้อยขึ้น
               (๔) อยู่ระหว่างถูกควบคุม ขัง หรือจำคุกติดต่อกันเกินกว่า ๑๕ วันแล้ว
               (๕) ถูกแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทั้งก่อนและหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าผิดอาญาในเรื่องที่สอบสวน และนายกฯ เห็นว่าข้อเท็จจริงชัดแล้วว่าผิดวินัยอย่างร้ายแรง
               (ข้อ ๑๔ ประกอบข้อ ๑๙)

          ดังนั้น ตามคำถาม นายกฯ จะสั่งให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นออกจากราชการไว้ก่อน ต้องเข้าเงื่อนไขดังกล่าว ไม่เช่นนั้น นายกฯ จะไม่อาจสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน โดยความเห็นชอบของ ก.จังหวัดได้

          และกรณีศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำคุก ๖ เดือน โดยไม่รอลงอาญา หากจำเลยได้รับการประกันตัวออกมาสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ และไม่มีเหตุดังข้างต้น นายกฯ ก็ไม่อาจสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนได้ เช่นเดียวกัน

          อ้างอิง :

          ๑. หนังสือสำนักงาน ก.พ.ที่ สร ๐๙๐๕/ว ๔ ลงวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๐๙
          ๒. หนังสือกระทรวงมหาดไทย ลับ ที่ ๑๓๓๓๓/๒๔๙๘ ลงวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๔๙๘
          ๓. หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการให้ออกจากราชการ (พ.ศ.๒๕๕๘/๒๕๕๙)
               ข้อ ๑๔ วรรคหนึ่ง
               ข้อ ๑๙ วรรคหนึ่ง

           ขอบคุณครับ
#118

คำถาม  ๒๐/๑/๖๓
ปลัดฯย้ายมาดำรงตำแหน่ง   ต่อมามีหนังสือจากต้นสังกัดเดิมให้ ที่ใหม่ลงโทษทางวินัย ภาคทัณฑ์  ตามข้อ 74  ประกาศ ก. ฐานความผิดตาม ข้อ 8   
ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วพบว่า ที่เดิมไม่มีการตั้งกรรมการสอบวินัย  แค่ให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงแล้วนายกก็วินิจฉัยสั่งลงโทษภาคทัณฑ์  แล้วส่งเรื่องให้ที่ใหม่ออกคำสั่งภาคทัณฑ์    เช่นนี้แล้วที่ใหม่ควรดำเนินการอย่างไรคะ  ต้องตั้งกรรมการสอบหรือไม่คะ

ตอบ

          ประเด็น

          โอน (ย้าย) ขณะถูกสอบวินัย ต้องดำเนินการอย่างไร

          สรุป

          สอบต่อไปจนเสร็จ แล้วส่งสำนวนให้สังกัดใหม่พิจารณาสั่งการ

          ขยายความ

          ข้าราชการส่วนท้องถิ่นโอน (ย้าย) ไปสังกัดอื่น ในขณะที่ถูกสอบสวน ให้สอบสวนต่อไปจนเสร็จ และเสนอสำนวนการสอบสวนให้นายกฯ สังกัดเดิมตรวจสอบความถูกต้อง แล้วส่งสำนวนการสอบสวน (ไม่ต้องทำความเห็น) นั้นไปให้นายกฯ สังกัดปัจจุบันพิจารณาสั่งการ (ข้อ ๗๔ ว ๑)
          เมื่อนายกฯ สังกัดปัจจุบันได้รับสำนวนการสอบสวนจากสังกัดเดิม ให้นายกฯ สังกัดปัจจุบันตรวจสอบความถูกต้องของสำนวนอีกครั้ง (ข้อ ๗๔ ว ๑) แล้วพิจารณาสั่งสำนวน ภายใน ๓๐ วันนับแต่วันได้รับสำนวนจากสังกัดเดิม ([ข้อ ๗๗ ว ๑ (๑)]
          ในกรณีนายกฯ เห็นสมควรให้สอบสวนเพิ่มเติมประการใด ให้กำหนดประเด็นพร้อมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องไปให้คณะกรรมการสอบสวนคณะเดิมเพื่อดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมได้ (ข้อ ๗๘ ว ๑) กรณีคณะเดิมไม่อาจทำการสอบสวนได้ หรือนายกฯ เห็นเป็นการจำเป็น อาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนคณะใหม่ขึ้นทำการสอบสวนเพิ่มเติมก็ได้ (ข้อ ๗๘ ว ๒)

          ถ้าเป็นกรณีกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ให้ดำเนินการสอบสวนตามที่นายกฯ เห็นสมควร (ข้อ ๒๖ ว ๓)
          ซึ่งหลักการสอบสวนทางวินัย มีดังนี้
          ๑. ต้องแจ้งและอธิบายข้อกล่าวหา
          ๒. ต้องสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหา
          ๓. ต้องให้โอกาสชี้แจงหรือนำสืบ
          (ข้อ ๒๖ ว ๑)

          ดังนั้น คำถามมีประเด็นอยู่ว่า ในวันที่นายกฯ สังกัดเดิมมีความเห็นให้ลงโทษภาคทัณฑ์นั้น ปลัดโอน (ย้าย) ไปสังกัดใหม่หรือยัง หากโอน (ย้าย) แล้ว นายกฯ สังกัดเดิมไม่สามารถลงความเห็นดังกล่าวได้ มีหน้าที่เพียงตรวจสอบความถูกต้องเท่านั้น เมื่อนายกฯ มีความเห็น ถือว่าเกินกว่าหน้าที่ที่หลักเกณฑ์กำหนด จึงไม่ผูกพันนายกฯ สังกัดปัจจุบันที่จะต้องเห็นตาม

          วิธีปฏิบัติ

          ๑. ให้นายกฯ สังกัดปัจจุบันตรวจสอบความถูกต้องของสำนวนอีกครั้ง (ข้อ ๗๔ ว ๑)
          ๒. กรณีนายกฯ เห็นว่าเป็นความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง (ภาค/ตัด/ลด) ให้ออกคำสั่งลงโทษ ภายใน ๓๐ วัน นับแต่ได้รับสำนวนจากสังกัดเดิม [ข้อ ๗๗ ว ๑ (๑)] แล้วรายงานไปยัง ก.จังหวัดเพื่อพิจารณา (ข้อ ๘๗ ว ๑)
          ๓. กรณีนายกฯ เห็นสมควรให้สอบสวนเพิ่มเติม ต้องกำหนดประเด็น
              (๑) ส่งไปให้สังกัดเดิมสอบเพิ่มเติม หรือ
              (๒) กรณีนายกฯ เห็นเป็นการจำเป็น อาจตั้งกรรมการคณะใหม่สอบสวน หรือให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงเพิ่มเติมตามประเด็นก็ได้

          ดังนั้น การที่เห็นเป็นวินัยอย่างไม่ร้ายแรง และสังกัดเดิมได้ดำเนินการสอบสวนตามที่นายกฯ เห็นสมควร (โดยให้ชี้แจงเป็นหนังสือ) แล้ว จึงถือเป็นอันใช้ได้ แต่หากมีประเด็นเพิ่มเติม นายกฯ สังกัดปัจจุบันก็สามารถส่งสำนวนกลับไปให้สังกัดเดิมสอบสวนเพิ่มเติม หรือตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอย่างไม่ร้ายแรง หรือให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงตามประเด็นนั้นได้

          อ้างอิง :

          หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย (พ.ศ.๒๕๕๘/๒๕๕๙)
          ข้อ ๘
          ข้อ ๒๖ วรรคหนึ่ง และวรรคสาม
          ข้อ ๗๔ วรรคหนึ่ง
          ข้อ ๗๗ วรรคหนึ่ง (๑)
          ข้อ ๗๘ วรรคหนึ่ง และวรรคสอง

          ขอบคุณครับ
#119

คำถาม  ๒๒/๑/๖๓
กรณีขาดราชการติดต่อกันเกิน15วัน ให้นับเฉพาะวันทำการหรือรวมวันหยุดด้วยค่ะ และต้องดำเนินการต่ออย่างไร นายกสามารถดำเนินการทางวินัยโดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการได้หรือไม่

ตอบ

          การขาดราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่า ๑๕ วัน (พนักงานจ้าง/ลูกจ้าง ๗  วัน) โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ให้นับวันหยุดราชการในระหว่างนั้น (วันหยุดตรงกลาง) รวมเข้าไปด้วย (/๑๐๐๐)

          ในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบต้องทำบันทึกข้อความรายงานตามลำดับชั้นถึงนายกฯ โดยเร็ว (ข้อ ๒๔ ว ๗) พร้อมแนบสมุดลงเวลามาปฏิบัติหน้าที่ราชการ (ที่ผู้นั้นไม่ลงชื่อ) แล้วเสนอความเห็นว่า "เห็นควรดำเนินการ ดังนี้
          ๑. สืบสวนว่ามีเหตุผลอันสมควรหรือไม่ หากไม่มีเหตุผลอันสมควร ถือเป็นความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง [ข้อ ๔๖ ว ๑ (๓)] ซึ่งนายกฯ จะไม่สอบสวน หรืองดการสอบสวนก็ได้ โดยต้องลงความเห็นว่า ควรปลดออก/ไล่ออก [ข้อ ๗๗ ว ๑ (๒)] แล้วรายงานไปยัง ก.จังหวัด เพื่อขอความเห็นชอบให้ลงโทษวินัยอย่างร้ายแรง (ข้อ ๘๕ ว ๑) ต่อไป" หรือ
          "๒. แต่งตั้งคณะกรรมกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง (ข้อ ๒๖ ว ๖)
          ๓. แจ้งกองคลังเพื่อระงับการจ่ายเงินเดือนระหว่างขาดราชการ (ม.๑๖ ว ๑) และรอจนกว่าการสอบสวนจะแล้วเสร็จ จึงพิจารณาเกี่ยวกับเงินเดือนระหว่างขาดราชการอีกครั้ง"

          อ้างอิง :

          ๑. หนังสือสำนักงาน ก.พ.ที่ นร ๐๗๐๙.๒/๑๐๐๐ ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๗
          ๒. หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย (พ.ศ.๒๕๕๘/๒๕๕๙)
               ข้อ ๒๔ วรรคเจ็ด
               ข้อ ๒๖ วรรคหก
               ข้อ ๔๖ วรรคหนึ่ง (๓)
               ข้อ ๗๗ วรรคหนึ่ง (๒)
               ข้อ ๘๕ วรรคหนึ่ง
          ๓. พระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ หรือเงินอื่นที่มีลักษณะเดียวกัน พ.ศ.๒๕๓๕
               มาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง   
          ๔. มาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับอัตราเงินเดือนและวิธีการจ่ายเงินเดือนฯ ลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๔
               ข้อ ๑ 

          ขอบคุณทุกความเห็น ครับ
#120

***ซักซ้อมความเข้าใจกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐถูกกล่าวหาร้องเรียนต่อคณะกรรมการ  ป.ป.ช.***
"กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐมีเรื่องถูกกล่าวหาร้องเรียนอยู่ในระหว่างการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ  ป.ป.ช. ไม่ว่าจะอยู่ในขั้นตอนใด หากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังมิได้พิจารณามีมติวินิจฉัยว่ามีมูลความผิด ย่อมถือไม่ได้ว่าผู้นั้นมีความผิดในเรื่องที่ถูกกล่าวหาร้องเรียน ผู้บังคับบัญชาจึงไม่ควรนำเหตุนี้ไปเป็นเหตุผลในการพิจารณาปรับย้าย การเลื่อนเงินเดือน การเลื่อนระดับ หรือตำแหน่ง หรือการให้สิทธิประโยชน์อื่นๆ ในทางที่เป็นโทษแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ถูกกล่าวหา" -หนังสือสำนักงาน ป.ป.ช. ที่ปช ๐๐๑๙/ว ๐๐๑ ลว. ๑๐ ก.พ. ๒๕๕๓- #ด้วยจิตคารวะ #เศรษฐพงศ์ฯ