• Welcome to ชมรมนิติกรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น:เว็บไซท์อันดับ๑ของวงการท้องถิ่น.
Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - admin

#1


สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เขต 3
1 มิถุนายน 2021  ·
╔═══════════╗
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4436/2562
╚═══════════╝
จำเลยเป็นผู้บังคับบัญชามีอำนาจจะอนุญาตให้โจทก์ลาหรือไม่ก็ได้ แต่การใช้ดุลยพินิจต้องอยู่บนรากฐานของความสมเหตุสมผลที่วิญญูชนทั่วไปยอมรับได้ว่ามิใช่เป็นการใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจ เมื่อปรากฏว่าจำเลยเคยมีปัญหาไม่พอใจกับโจทก์มาก่อน และเมื่อโจทก์ยื่นใบลากิจล่วงหน้าตามระเบียบ และภายหลังโจทก์ก็ได้ยื่นใบลาป่วยแทนใบลากิจที่จำเลยมีคำสั่งไม่อนุญาตไปก่อนแล้ว จำเลยจึงเกษียณคำสั่งคาดโทษโจทก์ว่า เป็นการลาเท็จ เพื่อหาเหตุตั้งคณะกรรมการสอบสวนการลาของโจทก์อันเป็นการหาเหตุลงโทษทางวินัยโจทก์ แม้ภายหลัง อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา เขต 8 จะพิจารณายกเลิกคำสั่งดังกล่าว แต่โจทก์ก็ยังมิได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนปกติ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการก่อความเสียหายแก่โจทก์และเป็นการใช้ดุลยพินิจที่ไม่อยู่บนรากฐานของความสมเหตุสมผล เป็นการใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจ ถือได้ว่าจำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157

━━━━━━━━━━━━━━━━━━

นางสาว ก.โจทก์
นาย ร.จำเลย

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 157

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลเฉพาะข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ให้ประทับฟ้องในข้อหาดังกล่าว ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จำคุก 1 ปี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์รับราชการตำแหน่งครูวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ จำเลยรับราชการตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนเดียวกัน โจทก์ยื่นใบลากิจต่อจำเลยในฐานะผู้บังคับบัญชา ระบุว่า ขอลากิจส่วนตัววันที่ 4 สิงหาคม 2558 เนื่องจากจะเดินทางไปสถานทูต จำเลยมีคำสั่งวันที่ 3 สิงหาคม 2558 ไม่อนุญาตว่า การไปสถานทูตมิได้เป็นภารกิจที่จำเป็นและสำคัญยิ่งถึงกับต้องขอลากิจและโรงเรียนไม่ทราบว่าไปทำไม จำเป็นอย่างไร วันที่ 4 สิงหาคม 2558 โจทก์เดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อทำวีซ่า วันที่ 5 สิงหาคม 2558 โจทก์ไปปฏิบัติราชการตามปกติ เมื่อทราบว่าจำเลยไม่อนุญาตให้ลากิจ โจทก์ยื่นใบลาป่วยวันที่ 4 สิงหาคม 2558 แทนใบลากิจอ้างว่าเป็นโรคเครียด ปวดศีรษะ จำเลยเกษียนสั่งโดยเว้นทำเครื่องหมายว่าอนุญาตหรือไม่อนุญาต อ้างว่าโรงเรียนไม่ทราบข้อมูลที่แท้จริงว่าลากิจหรือลาป่วย จึงไม่สามารถพิจารณาได้ และเกษียนสั่งเพิ่มเติมว่า หากข้อเท็จจริงปรากฏภายหลังว่าลาไปสถานทูตก็จะสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นการลาเท็จหรือให้ข้อมูลเท็จ วันที่ 13 สิงหาคม 2558 จำเลยแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงในเรื่องการที่โจทก์ยื่นใบลากิจแล้วหยุดราชการก่อนที่จะได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา เมื่อผู้บังคับบัญชาไม่อนุญาตให้ลากิจ โจทก์ยื่นใบลาป่วยแทน คณะกรรมการที่จำเลยแต่งตั้งสรุปความเห็นว่า โจทก์เป็นผู้ละทิ้งหน้าที่ราชการโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรและทำให้ราชการเกิดความเสียหาย เสนอให้หักเงินเดือนในวันที่ขาดราชการและให้งดเลื่อนขั้นเงินเดือนโจทก์ จำเลยเกษียนสั่งให้หักเงินเดือนในวันที่ขาดราชการและให้งดเลื่อนขั้นเงินเดือนโจทก์ วันที่ 10 กันยายน 2558 จำเลยมีคำสั่งว่าโจทก์ยื่นใบลาป่วยโดยไม่ได้ป่วยจริง แต่เดินทางไปกิจธุระที่สถานทูตเพื่อขอวีซ่า เป็นการรายงานเท็จ ให้โจทก์เป็นผู้ขาดราชการในวันที่ 4 สิงหาคม 2558 จำเลยมีคำสั่งให้รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงบประมาณหักเงินเดือนในวันที่ขาดราชการส่งคืนคลังและงดเลื่อนขั้นเงินเดือนในครั้งที่ 2 (รอบวันที่ 1 ตุลาคม 2558) วันที่ 23 ธันวาคม 2558 จำเลยมีคำสั่งให้หักเงินเดือนโจทก์เป็นเงิน 1,341.29 บาท โดยให้หักเงินเดือนในเดือนธันวาคม 2558 โจทก์ร้องทุกข์ต่อประธานคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประจำ (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 8 เรื่องผู้บังคับบัญชากลั่นแกล้งสั่งลงโทษโดยมิชอบ ไม่ให้เลื่อนขั้นเงินเดือนและหักเงินเดือน 1 วัน โดยมิชอบ วันที่ 22 เมษายน 2559 อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 8 เห็นว่า การที่โจทก์ยื่นขอลากิจเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2558 และได้หยุดไปก่อนโดยยังไม่ได้รับอนุญาตการลานั้น เป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลา พ.ศ.2555 แต่ยังไม่เป็นเหตุอันควรที่จะถือว่าเป็นการขาดราชการ ให้ยกเลิกคำสั่งพิพาทที่ 189/2558 ให้พิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนโจทก์ตามผลการประเมินต่อไปตามหนังสือสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 8 วันที่ 5 มกราคม 2559 จำเลยแจ้งเรื่องการเบิกจ่ายเงินเดือนโจทก์เดือนธันวาคม 2558 ที่ขาดไปเป็นเงิน 1,341.29 บาท ขอนำส่งเงินเดือนที่ขาดคืนโจทก์
━━━━━━━━━━━━━━━━━━
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่

เห็นว่า ตามระเบียบการลาที่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาถือเป็นแนวปฏิบัติให้ใช้บังคับตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ.2555 ซึ่งข้าราชการครูมีสิทธิลาป่วยไม่เกิน 60 วัน ลากิจไม่เกิน 30 วัน โดยผู้อำนวยการสถานศึกษาเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาหรืออนุญาต ทั้งนี้ อำนาจของจำเลยในฐานะผู้อำนวยการศึกษาผู้มีอำนาจพิจารณาหรืออนุญาตจะเป็นการใช้อำนาจตามเจตนารมณ์ของระเบียบการลาหรือไม่ ต้องพิจารณาว่าการใช้อำนาจนั้นต้องมิใช่เป็นการใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจหรือเป็นการเลือกปฏิบัติ

สำหรับคดีนี้ได้ความว่า โจทก์กับนางสาวมาลัยต่างยื่นใบลากิจขอลาหยุดปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 4 สิงหาคม 2558 เพื่อทำวีซ่าเดินทางไปประเทศอังกฤษ โดยโจทก์ยื่นใบลากิจลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2558 อ้างเหตุเดินทางไปสถานทูต มีนางจุฑารัตน์ ทำความเห็นเบื้องต้นวันที่ 3 สิงหาคม 2558 ว่าเห็นสมควร แต่จำเลยมีคำสั่งวันที่ 3 สิงหาคม 2558 ว่าไม่อนุญาต ให้เหตุผลว่ามิได้เป็นภารกิจที่จำเป็นและสำคัญยิ่งถึงกับต้องขอลากิจ

ส่วนนางสาวมาลัยยื่นใบลากิจลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 อ้างเหตุไปทำธุระส่วนตัวที่กรุงเทพฯ มีผู้ทำความเห็นเบื้องต้นเห็นควรพิจารณา จำเลยกลับมีคำสั่งอนุญาตทันทีในวันเดียวกัน เมื่อพิจารณาใบลากิจของโจทก์มีตราประทับรับใบลาวันที่ 29 กรกฎาคม 2558

จึงน่าเชื่อว่าโจทก์ยื่นใบลากิจล่วงหน้าตามระเบียบ เมื่อพิจารณาใบลากิจของโจทก์และนางสาวมาลัยซึ่งมิได้ระบุเหตุผลในการลากิจเป็นพิเศษอย่างไร แต่จำเลยกลับอนุญาตให้นางสาวมาลัยลากิจได้ทันที

แสดงว่าจำเลยไม่ใช้หลักเกณฑ์ในการพิจารณาการอนุญาตให้นางสาวมาลัยลากิจเช่นเดียวกับที่ใช้กับโจทก์ จึงเป็นการเลือกปฏิบัติ ซึ่งเมื่อโจทก์กลับมาปฏิบัติราชการวันที่ 5 สิงหาคม 2558 ทราบว่าจำเลยไม่อนุญาตให้โจทก์ลากิจ โจทก์ยื่นใบลาป่วย แต่จำเลยไม่มีคำสั่งว่าอนุญาตหรือไม่ เพียงแต่มีคำสั่งคาดโทษโจทก์ว่า เป็นการลาเท็จหรือให้ข้อมูลเท็จ แล้วมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนโจทก์ในเรื่องการลาราชการ จนนำไปสู่การที่จำเลยมีคำสั่งว่า โจทก์เป็นผู้ขาดราชการตามคำสั่งพิพาทที่ 189/2558

ซึ่งจากข้อพิจารณาที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 8 มีความเห็นว่า คำสั่งจำเลยที่สั่งให้โจทก์เป็นผู้ขาดราชการไม่เลื่อนขั้นเงินเดือนและตัดเงินเดือน 1 วัน เป็นคำสั่งที่ไม่เหมาะสม ประกอบกับการให้ความเห็นของนายสมพงษ์หนึ่งใน อ.ก.ค.ศ.ว่า การขาดราชการหมายความว่าการไม่มาปฏิบัติราชการโดยไม่มีเหตุผล แสดงว่าการที่โจทก์ยื่นใบลากิจวันที่ 4 สิงหาคม 2558 โดยที่โจทก์ไม่ทราบคำสั่งจำเลยว่าจำเลยจะอนุญาตหรือไม่ แล้วโจทก์ไม่ไปทำงานวันที่ 4 สิงหาคม 2558 ต่อมาเมื่อโจทก์ทราบว่าจำเลยไม่อนุญาตให้ลากิจ โจทก์ยื่นใบลาป่วยแทน ไม่ถือว่าโจทก์จงใจขาดราชการ

ดังนั้น คดีรับฟังได้ว่าโจทก์ยื่นใบลากิจล่วงหน้าตามระเบียบและภายหลังเมื่อโจทก์ยื่นใบลาป่วยแทนใบลากิจที่จำเลยมีคำสั่งไม่อนุญาตไปก่อนแล้ว จำเลยจึงเกษียนคำสั่งคาดโทษโจทก์ว่า เป็นการลาเท็จเพื่อหาเหตุตั้งคณะกรรมการสอบสวนการลาของโจทก์ อันเป็นการดำเนินการหาเหตุลงโทษทางวินัยโจทก์ แม้ภายหลัง อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 8 จะพิจารณาให้ยกเลิกคำสั่งพิพาทที่ 189/2558 แต่โจทก์ก็ยังไม่ได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนตามปกติ

จึงเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และเป็นการใช้ดุลพินิจที่มิได้อยู่บนรากฐานของความสมเหตุสมผล เป็นการใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ ถือได้ว่าจำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

(อาคม รุ่งแจ้ง-วีรวิทย์ สายสมบัติ-กษิดิศ มงคลศิริภัทรา)

ศาลจังหวัดราชบุรี - นายวิริยะ ภูมิจำนง
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 - นายไชยวัฒน์ ไกรวิชญพงศ์
━━━━━━━━━━━━━━━━━━

แหล่งที่มากองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
แผนก
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.2071/2561
หมายเลขคดีดำศาลชั้นต้น อ99/2559
หมายเลขคดีแดงศาลชั้นต้น อ794/2560

(ระบบสืบค้นคำพิพากษา คำสั่งคำร้องและคำวินิจฉัยศาลฎีกา)

━━━━━━━━━━━━━━━━━━
#อุทาหรณ์คดีทุจริต ดูน้อยลง

https://www.nitikon.com/157.htm
#6
https://download.simplemachines.org/?languages;lang=thai
https://vir9.com/thai-lang-smf2-manual/

วิธีการก็เพียงแค่ดาวน์โหลดไฟล์ภาษาไทยจาก http://download.simplemachines.org/?languages;lang=thai
1.จากนั้นเมื่อดาวน์โหลดเสร็จแตกไฟล์ออกมา
2.เข้าไปที่ Themes\default\languages อัปโหลดทุกไฟล์ทั้งหมดในนั้น(ทั้งหมด 32 ไฟล์)ยกเว้น index.php ขึ้นไปไว้ที่โฮสต์ของคุณที่ <ตำแหน่งไซต์ของคุณ>/Themes/default/languages
3.จากนั้นภาษาไทยก็จะถูกตรวจพบและเพิ่มเข้าไปโดยอัตโนมัติ
4.เว็บไซต์จะยังไม่เปลี่ยนภาษาให้ วิธีเปลี่ยนภาษาก็ไปที่ ศูนย์ดำเนินการระบบ » Languages » Edit Languages เลือกภาษาไทยแล้วคลิกที่ปุ่มบันทึกก็เป็นอันเรียบร้อยครับ

หรือถ้าคุณต้องการเพิ่มภาษาไทยตั้งแต่ตอนก่อนจะติดตั้งบอร์ด ก็ให้คัดลอกไฟล์ภาษาไทยจากใน Themes\default\languages (เหมือนกับข้อ 2) แต่คราวนี้ให้คัดลอกไฟล์ทั้งหมดในนั้นไปวางไว้ใน <ตำแหน่งของไฟล์ติดตั้ง>\Themes\default\languages จะมีหน้าต่างแจ้งเตือนว่ามีไฟล์ index.php อยู่แล้วแล้วก็ให้คลิก Replace ไป  เอาไฟล์ติดตั้งทั้งหมดอัปโหลดขึ้นโฮสต์ จากนั้นตอนติดตั้งก็จะมีภาษาไทยแล้ว

ส่วนวิธีลบภาษาไทยก็ให้เปลี่ยนภาษาของเว็บไซต์ให้เป็นภาษาอังกฤษเสียก่อน จากนั้นก็ลบไฟล์ทั้ง 32 ไฟล์ที่เราได้อัปโหลดขึ้นไปไว้ในตอนแรก เท่านี้เองครับ -ภาษาของสมาชิกก็จะถูกเปลี่ยนกลับเป็นภาษาดั้งเดิมซึ่งก็คือภาษาอังกฤษโดยอัตโนมัติ

อีกวิธี คือ เข้าไปที่ CP เเล้ว search ภาษา เจอเเล้วก็กด install
#8
https://www.blognone.com/node/127154
ถ้าถามเว็บมาสเตอร์ในยุคก่อนว่า รู้จักระบบเว็บบอร์ดหรือกระดานสนทนาที่เบาและแรงไหม หนึ่งในตัวเลือกแรก ๆ ที่จะตอบเกือบพร้อมเพรียงกัน คงหนีไม่พ้น "SMF" เป็นแน่แท้ (แม้ในยุคปัจจุบันนี้ จะมีผู้ใช้งานส่วนใหญ่หนีไปใช้โซเชียลมีเดียแทนการใช้ระบบเว็บบอร์ดแล้วก็ตาม)

SMF (หรือคำเต็มคือ Simple Machines Forum) เป็นระบบกระดานสนทนาโอเพนซอร์ส ที่เขียนมาจากภาษา PHP ใช้ฐานข้อมูล MySQL พัฒนาโดย Simple Machines ตั้งแต่ปี 2001 ถ้านับถึงตอนนี้ อายุปาไป 21 ปีแล้ว เป้าหมายแรกเริ่มของการพัฒนาคือ เน้นระบบที่เรียบง่าย ใช้งานง่ายและที่สำคัญต้องเบา ไม่กินทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์ด้วย

อัพเดตล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา Simple Machines ประกาศปล่อย SMF 2.1 อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ปล่อยเบต้าตัวแรกเมื่อ 8 ปีก่อน (ฟังไม่ผิด 8 ปีจริง ๆ) มีคุณสมบัติที่โดดเด่นและเห็นความต่างจากรุ่น SMF 2.0 ได้แก่

    รองรับทุกหน้าจอ (Responsive Web Design)
    ปรับปรุงระบบภายในต่าง ๆ ให้รองรับ PHP 7 ถึง PHP 8.1
    ปรับปรุงการอัปโหลดไฟล์แนบแบบ HTML5 (อัปโหลดโดยการลากวาง)
    ปรับปรุงข้อความส่วนตัวและการร่างโพสต์ต่าง ๆ
    การกดถูกใจโพสต์และการเมนชัน (Mentions)
    และอื่น ๆ อีกมากมาย ดูได้จากที่มาของข่าว

ในด้านของการอัพเกรดระบบ SMF ตัวเดิมไปเป็น SMF 2.1 ทางผู้พัฒนาแนะนำว่าธีมเดิมที่เคยใช้จะไม่สามารถใช้กับตัวใหม่ได้ ฉะนั้นก่อนการอัพเกรดให้จัดเตรียมและทดสอบก่อนดำเนินการกับเว็บไซต์จริง (เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วในการเปลี่ยนผ่านระบบใหม่ที่ธีมเดิมจะไม่สามารถใช้งานได้)
#13

เอวพริ้วดั่งสายน้ำ


ขอดื่มให้ท่านประธาน


งานเลี่ยง


งานเลี้ยง


งานเลี้ยง





























#16

ห๊าววววววววววววววววววววววววววววววง่วงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง



แอ๊คชั่น



โย่วววววววววววววววว



ปะทะแข้งบุคลากร



กองเชียร์



กองเชียร์ตัวจริง















จะมีสักกี่คนที่คิดถึงกัน
#17
 
   

รายชื่อผู้เข้าศึกษาอบรมหลักสูตร นิติกร อปท. รุ่นที่ 11

ระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม – 9 พฤศจิกายน  2550
ณ  สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น  ศูนย์คลองหนึ่ง
อ.คลองหลวง  จ.ปทุมธานี
   

เพศ
   

ชาย       69          คน
   

หญิง          18          คน
   

รวม    87     คน

อายุ
   

สูงสุด  46    ปี
   

ต่ำสุด        24         ปี
   

เฉลี่ย    31           ปี

อายุราชการ
   

สูงสุด    24          ปี
   

ต่ำสุด       1       เดือน
   



การศึกษา
   

ปริญญาเอก   -   คน
   

ปริญญาโท 2    คน
   

ปริญญาตรี 85   คน
   

อื่น ๆ   -   คน

ระดับ
   

ระดับ 3 = 52  คน
   

ระดับ 4 = 27 คน
   

ระดับ 5 = 7  คน
   

ระดับ 6= 1  คน
   

ระดับ 7 = - คน

สถานภาพ
   

โสด     62       คน
   

สมรส       25            คน
   

อื่นๆ    -     คน

ศาสนา
   

พุทธ      87       คน
   

อิสลาม    -   คน
   

คริสต์      -      คน
   

อื่น ๆ     -

สังกัด
   

อบจ.  5    คน
   

ทม.      2       คน
   

ทต.    21    คน
   

อบต.   59     คน
   

ทน. -  คน



44  จังหวัด




   

ภาคใต้     9         คน


   

กระบี่      -       คน
   

ชุมพร     2     คน
   

ตรัง     -    คน
   

นครศรีธรรมราช   1    คน

นราธิวาส   -     คน
   

ปัตตานี    -      คน
   

พังงา       1     คน
   

พัทลุง  1  คน
   

ภูเก็ต   -    คน

ยะลา  -           คน
   

ระนอง    1       คน
   

สงขลา   2      คน
   

สตูล   1  คน
   

สุราษฎร์ธานี   -    คน

ภาคตะวันออก

เฉียงเหนือ   37     คน


   

กาฬสินธุ์   1    คน
   

ขอนแก่น    3    คน
   

ชัยภูมิ      1      คน
   

นครพนม  4  คน

นครราชสีมา 3   คน
   

บุรีรัมย์  5    คน
   

มหาสารคาม  3  คน
   

มุกดาหาร 1   คน
   

ยโสธร    -    คน

ร้อยเอ็ด  7  คน
   

เลย         -         คน
   

ศรีสะเกษ     7     คน
   

สกลนคร -  คน
   

สุรินทร์  1 คน

หนองคาย     -   คน
   

หนองบัวลำภู  -  คน
   

อำนาจเจริญ  -    คน
   

อุดรธานี  -  คน
   

อุบลราชธานี   1    คน

ภาคเหนือ   14    คน


   

กำแพงเพชร   -   คน
   

เชียงราย     1       คน
   

เชียงใหม่      2    คน
   

ตาก  2  คน
   

น่าน   -    คน

พะเยา        1      คน
   

พิจิตร  1    คน
   

พิษณุโลก    2     คน
   

เพชรบูรณ์  -  คน
   

แพร่    1   คน

แม่ฮ่องสอน   -    คน
   

ลำปาง     1        คน
   

ลำพูน       -         คน
   

สุโขทัย  2  คน
   

อุตรดิตถ์   1    คน

ภาคกลาง    23     คน


   

กาญจนบุรี   1     คน
   

ชัยนาท     -      คน
   

นครนายก        1       คน
   

นครปฐม  5  คน
   

นครสวรรค์    -  คน

นนทบุรี     1     คน
   

ปทุมธานี  1     คน
   

ประจวบคีรีขันธ์ 2  คน
   

พระนครศรีอยุธยา 4 คน
   

เพชรบุรี  2     คน

ราชบุรี    1        คน
   

ลพบุรี     1        คน
   

สมุทรปราการ   3      คน
   

สมุทรสงคราม  1  คน
   

สมุทรสาคร    คน

สระบุรี          -  คน
   

สิงห์บุรี  -         คน
   

สุพรรณบุรี   1     คน
   

อ่างทอง  -  คน
   

อุทัยธานี  -  คน

ภาคตะวันออก  4  คน
   

จันทบุรี 1 คน
   

ฉะเชิงเทรา 2  คน
   

ชลบุรี  1  คน
   

ปราจีนบุรี -คน
   

ระยอง   -  คน
   

ตราด   -   คน
   

สระแก้ว -  คน

                                           ทำเนียบเจ้าหน้าที่สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น

นายสุรพล   วาณิชเสนี

ผอ.สพบ.
   

นายชลธี   ยังตรง

รอง ผอ.สพบ.
   



นายศตพงษ์  สุนทรารักษ์

รอง ผอ.สพบ.
   

นายพศิน   รัตโนดม

ผู้อำนวยการโครงการฯ
   

น.ส.อินทิรา  โพพิพัฒน์

วิทยากร

08-6306-1029
   













นางสาวรุ่งกมล  แสงเทศ

เจ้าหน้าที่โครง ฯ

08-4645-1285

ที่ตั้ง  สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น  ศูนย์คลองหนึ่ง  ซอยผาไทผาเมือง  ตำบลบางหวายใต้  อำเภอคลองหลวง  จังหวัดปทุมธานี  12120

  โทร.0-2516-8343    โทรสาร  0-2577-1954    มือถือ (ผอ.โครงการ ฯ  08-9481-3899 ) 
#18

คำพิพากษาศาลปกครอง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกกฎโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีการปรับเลื่อนระดับเป็นเชี่ยวชาญ รายละเอียดอ่านได้ในคำพิพากษา

โดยนายธีรเดช  นรัตถรักษา  ประธานชมรมนิติกร อปท.
เผยแพร่โดย นายสมเกียรติ  วรรณสุทธิ์  เว็บมาสเตอร์ชมรมนิติกร อปท.
ติดตามกลุ่มเฟสชมรมนิติกรได้ที่  8): https://www.facebook.com/groups/nitikon
ติดตามเพจชมรมนิติกรได้ที่  8): https://www.facebook.com/nitikongroup
ไลน์กลุ่มรวม  8):https://line.me/ti/g2/zdeRB4CITx8eO4vf_jISDtpwecLtx0PEN9Iuww?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default

คลิกอ่านคำพิพากษาที่นี่  :  https://www.nitikon.com/nitikon2021/Newdatapdf/001_NEW.pdf
#19


องค์การบริหารส่วนตำบล



เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความสำคัญต่อท้องถิ่นเป็นอย่างมาก มีขนาดเล็กและอยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ชนบท ซึ่งจัดตั้งโดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เพื่อดูแลและจัดทำบริการสาธารณะแก่ประชาชนในหมู่บ้าน ตำบล มีฐานะเป็นนิติบุคคล



ในปัจจุบันมีองค์การบริหารส่วนตำบล หรือ อบต. จำนวน 5,300 แห่ง (ข้อมูล ณ วันที่ 9 กันยายน 2563)



จำนวนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบล



สภาองค์การบริหารส่วนตำบล ประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เขตเลือกตั้งละ 1 คน โดยกำหนดเขตหมู่บ้านเป็นเขตเลือกตั้ง เว้นแต่ หมู่บ้านใดมีราษฎรไม่ถึง 25 คน ให้รวมหมู่บ้านนั้นกับหมู่บ้านที่มีพื้นที่ติดต่อกัน และรวมกันแล้วมีราษฎรถึง 25 คน เป็นเขตเลือกตั้งเดียวกัน อายุของสภาองค์การบริหารส่วนตำบล มีกำหนดคราวละ 4 ปี นับแต่วันเลือกตั้ง



หาก อบต. ใดมีเขตเลือกตั้งไม่ถึง 6 เขตเลือกตั้ง (หมู่บ้าน) ให้สภาองค์การบริหารส่วนตำบลนั้น ประกอบด้วยสมาชิก (ส.อบต.) จำนวน 6 คน โดย



- ถ้ามี 1 เขตเลือกตั้ง ให้มี ส.อบต. 6 คน

- ถ้ามี 2 เขตเลือกตั้ง ให้มี ส.อบต. ได้เขตเลือกตั้งละ 3 คน

- ถ้ามี 3 เขตเลือกตั้ง ให้มี ส.อบต. ได้เขตเลือกตั้งละ 2 คน

- ถ้ามี 4 เขตเลือกตั้ง ให้มี ส.อบต. ได้เขตเลือกตั้งละ 1 คนก่อน แล้วเพิ่มให้เขตเลือกตั้งที่มีจำนวนราษฎรมากที่สุด 2 เขตเลือกตั้งแรก เขตเลือกตั้งละ 1 คน

- ถ้ามี 5 เขตเลือกตั้ง ให้มี ส.อบต. ได้เขตเลือกตั้งละ 1 คน และเพิ่มให้เขตเลือกตั้งที่มีจำนวนราษฎรมากที่สุดอีก 1 คน



และกำหนดให้มีนายกองค์การบริหารส่วนตำบลที่มาจากการเลือกตั้ง จำนวน 1 คน โดยใช้เขตตำบลเป็นเขตเลือกตั้ง มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปีนับแต่วันเลือกตั้ง แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระไม่ได้ ในกรณีดำรงตำแหน่งไม่ครบ 4 ปี ก็ให้ถือว่าเป็น 1 วาระและเมื่อได้ดำรงตำแหน่ง 2 วาระ ติดต่อกันแล้วจะดำรงตำแหน่งได้อีกเมื่อพ้นระยะเวลา 4 ปีนับแต่วันพ้นตำแหน่ง



คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครรับเลือกตั้ง

สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบล



พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 49 และมาตรา 50 ประกอบพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 7 ) พ.ศ. 2562 มาตรา 47 ทวิ และ 58/1 ได้กำหนดคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ดังนี้



คุณสมบัติผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง



1. มีสัญชาติไทยโดยการเกิด

2. ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง สำหรับผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง

3. มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์กรบริหารส่วนตำบลที่สมัครรับเลือกตั้งในวันสมัครรับเลือกตั้ง เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปีนับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง

4. สำหรับผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภาตำบล สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา

ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง



1. ติดยาเสพติดให้โทษ

2. เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต

3. เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ

4. เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา 39 (1) เป็นภิกษุสามเณร นักพรตหรือนักบวช (2) อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดหรือไม่ และ (4) วิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ

5. อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือถูกเพิกถอนสิทธิ สมัครรับเลือกตั้ง

6. ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล

7. เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

8. เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ

9. เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

10. เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิตนำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือ กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน

11. เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง

12. เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ

13. เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น

14. เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ

15. เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ

16. อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

17. เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

18. ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่ว่าจะได้รับโทษหรือไม่ โดยได้พ้นโทษหรือต้องคำพิพากษามายังไม่ถึง 5 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี

19. เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี มายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง

20. อยู่ในระหว่างถูกจำกัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามมาตรา 42 หรือตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

21. เคยถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและยังไม่พ้น 5 ปี นับแต่วันที่พ้นจากการถูกเพิกถอน สิทธิเลือกตั้งจนถึงวันเลือกตั้ง

22. เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดียวกันหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น

23. เคยพ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะเหตุมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทำหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น หรือมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทำกับหรือจะกระทำกับหรือให้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น โดยมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าเป็นการต่างตอบแทนหรือเอื้อประโยชน์ส่วนตน ระหว่างกัน และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง

24. เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพราะจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ หรือมติคณะรัฐมนตรี อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรงและยังไม่พ้น 5 ปี นับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง

25. เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพราะทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามหน้าที่และอำนาจ หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยหน้าที่และอำนาจ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือมีความประพฤติในทางที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ศักดิ์ตำแหน่ง หรือแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือแก่ราชการ และยังไม่พ้น 5 ปี นับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง

26. ลักษณะอื่นตามที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำหนด



https://www.ect.go.th/ect_th/news_all.php?cid=334" style="box-sizing: border-box; text-decoration: none; color: rgb(47,47,47); background-color: transparent">จากเว็บ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง